วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

ประวัติศาสตร์ ร็อท ไอร์ออน ตอนที่ 2




ร็อท ไอร์ออนเ ป็นรูปแบบของเหล็กที่มีส่วนประกอบของคาร์บอนต่ำมากซึ่งสามารถหลอม และหลอมอีกและยังสามารถตีจากสภาพที่เป็นก้อนได้ ร็อท ไอร์ออนไม่เหมือนเหล็กหล่อ (Cast Iron) ซึ่งไม่แตกบิ่นง่าย ความสามารถในการดัดโค้งและถูกเชื่อมได้ง่ายมาก ดังนั้น ร็อท ไอร์ออนจึงถูกใช้สำหรับงานศิลปะที่ต้องการความละเอียดและความยุ่งยากของลายเส้นเหล็ก

การใช้ร็อท ไอร์ออนสำหรับงานศิลปะที่เป็นส่วนประกอบและตกแต่งนั้นต้องการทักษะและศิลปะของช่างอย่างสูง ซึ่งเหตุผลนี้เองทำให้ช่างเหล็กนั้นได้รับความยกย่องและยอมรับความสามารถในการดัดเหล็กซึ่งแข็งไปตามลวดลายเส้นของสิ่งที่ต้องการ เขาเองยังได้รับการประพฤติเยี่ยงเขาเป็นผู้วิเศษซึ่งความสามารถพิเศษในการใช้ไฟและน้ำในการเปลี่ยนแร่ธาตุ (เหมือนการเล่นแปรธาตุ) จากความสามารถควบคุมแปรความแข็งแกร่งของเหล็กเป็นตามที่เขาต้องการได้ดังผู้วิเศษเขาจึงได้รับการยอมรับในสังคมอยู่ในระดับเดียวกับหมอและนักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น

ในสมัยแรกเริ่มนั้น ช่างเหล็กจะถูกใช้งานไปในแง่ของผู้ผลิตอาวุธ แต่เมื่อถึงสมัยโรมันนั้น ช่างเหล็กถูกใช้งานเพิ่มขึ้นในการผลิตเครื่องใช้มากขึ้น อาทิเช่น เหล็กเคาะประตู (door knocks) ที่ล็อคประตู (door locks) บานพับ (hinges) และเครื่องมือสำหรับงานบ้านและการเกษตร

ในสมัยบาบิเลี่ยน (Barbarian)รุกรานอาณาจักรโรมันนั้น แม้ชาวบาบิเลี่ยนนั้นจะไม่เจริญด้านกฎหมาย ศิลปะ การสร้างถนน และสถาปัตยกรรม แต่ก็มีทักษะในการทำงานที่เกี่ยวกับเหล็กมาก งานสวยงามได้ถูกผลิตโดย ชนชาติลองโกบาดส์ (Longobardes) ชาวอิตาเลี่ยนโบราณที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี และเป็นครั้งแรกที่เหล็กถูกนำมาใช้ในแง่ของเครื่องประดับที่มีลวดลายบนผิว ประมาณปี คศ. 1000 งานศิลปะเหล็กถูกนำมาใช้ในงานสถาปัตยกรรมก่อสร้างโบสถ์ (มหาวิหาร วินเชสเตอร์ในประเทศอังกฤษ และ ในประเทศฝรั่งเศส)

ในยุคนั้น โบสถ์ได้กลายเป็นโรงเรียนและแรงจูงใจสำหรับงานศิลปะร็อท ไอร์ออนเพื่อเป็นการรับใช้ศาสนจักร และเป็นสิ่งพิเศษสุดในการนำความสัมพันธ์ระหว่างพระกับช่างเหล็กผู้เร่ร่อนช่างเหล็กได้กลายเป็นผู้มีเกียรติในการรับใช้ชุมชนในการสร้างศาสนาจักร การผลิตงานศิลปะเหล็กในขณะนั้นก็ยังเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ปกติแล้ว การเผาเหล็กจะตั้งใกล้เหมืองมากโดยการนำเหล็กเข้าเผาในเตาที่ทำด้วยดินเหนียว เตาประเภทนี้เรียกว่า เตาไฟต่ำ

ใน คาทาโลเนีย (Catalonia) บริเวกใกล้บาซาโลน่า ประเทศสเปน ได้มีการสร้างเตาที่ขุดรูเข้าไปในดินและใช้หลอมเหล็ก ซึ่งผลของการหลอมเหล็กนี้ จะสามารถทำให้เหล็กเป็นแท่งได้ (ingots) เตาประเภทนี้ถูกเรียกว่า เตาคาทาโลเนีย (Catalonian Ovens)
จนกระทั่ง ปลายศตวรรษที่ 13 ในประเทศเยอรมันได้เริ่มประดิษฐ์เตาเผาในแนวตั้งซึ่งมีการยาแนวระหว่างอิฐเพื่อเก็บความร้อน มีรูปเป็นแนวยาวและใช้น้ำอยู่ภายใต้เตาเป็นตัวพาอากาศเข้าไป จากนี้เอง จึงทำให้ผลผลิตการหล่อเหล็กมากขึ้น ซึ่งเป็นการเริ่มต้น
ของการผลิตเหล็กหล่อในปริมาณมาก

ในขณะนั้นเอง ประเทศอื่นๆ สถาปัตยกรรม ก็แพร่หลายอย่างต่อเนื่อง ในทัสคานี (Tuscany) เริ่มมีโรงเรียนของนักคิดและ
ศิลปกรเกิดขึ้นที่เรียกว่า ยุค เรเนซอง (Renaissance) ในศตวรรษที่ 15-16นี้เอง ส่วนสำคัญของการพัฒนาในห้วงระยะเวลานี้คือ ภาพวาดและสถาปัตยกรรมมีการใช้ในแบบ perspective หรือภาพมีมิตินั่นเองอย่างสมบูรณ์ ศิลปกรและสถาปนิกเริ่มร่วมมือกับช่างเหล็กผู้ซึ่งถูกมองในฐานะระดับเดียวกับศิลปกรทั่วไป 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น